สำหรับคนรักรถ การดูแลผิวสีรถให้เงางามและคงทนอยู่เสมอคือเรื่องสำคัญ และคำถามยอดฮิตที่มักตามมาคือ “ควรเลือกเคลือบแก้ว (แท้) หรือฟิล์มกันรอย (PPF) ดีกว่ากัน?” วันนี้เราจะพาเปรียบเทียบข้อดี–ข้อด้อยของแต่ละตัวแบบชัดเจน หมัดต่อหมัด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้น


คำว่า “เคลือบแก้วแท้” คือประเด็นสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันมีบริการเคลือบแก้วราคาถูกเกินจริง โปรแรงเกินต้าน แต่ใช้น้ำยาที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่มีส่วนผสมของ Silica (SiO₂) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการผลิตแก้ว ทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง และอาจทำให้ผิวรถเสียหายได้

1.เงางาม ฉ่ำวาวแบบกระจก เพิ่มมิติให้สีรถดูสดใหม่ตลอดเวลา
2.ลดการเกาะสิ่งสกปรก ล้างง่าย ไม่ต้องขัดถูแรง
3.ป้องกันรังสี UV ช่วยให้สีรถซีดจางช้าลง
4.ราคาย่อมเยากว่า PPF เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลทั้งคันในงบประหยัด

1.ไม่สามารถกันรอยจริง แค่ลดโอกาสเกิด ไม่ได้ป้องกันรอยแบบสัมผัสจริง
2.คุณภาพขึ้นอยู่กับฝีมือช่าง หากน้ำยาไม่ดีหรือช่างขาดประสบการณ์ อาจเสียของ
3.ต้องดูแลต่อเนื่อง เช่น การล้าง การเติมชั้นเคลือบเป็นระยะ

ฟิล์มกันรอยขีดข่วน หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ “PPF” ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเภท Aliphatic TPU ซึ่งทนต่อความร้อนและ UV ได้ดีเยี่ยม ลดปัญหาฟิล์มเหลือง พร้อมยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานกว่าเดิม

1.กันรอยจริงแบบสัมผัสได้ สะเก็ดหิน เล็บมือ รอยข่วน จบในแผ่นเดียว
2.Self-Healing เทคโนโลยีขั้นสูง ในการฟื้นฟูรอยตื้นด้วยความร้อนจากแดด
3.ติดเฉพาะจุดได้ตามการใช้งาน เช่น กันชน ฝากระโปรง ขอบประตู
4.ให้การป้องกัน UV และสารเคมีขั้นสูง ยืดอายุสีรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1.ราคาสูงกว่าการเคลือบแก้ว โดยเฉพาะหากติดทั้งคัน
2.มีอายุการใช้งาน แนะนำประมาณ 3-5 ปี ต้องเปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพ
3.คุณภาพฟิล์มต้องเลือกดี หากใช้ฟิล์มเกรดต่ำอาจเกิดการลอกหรือเหลืองเร็ว


อยากให้รถดูเงางาม ล้างง่าย ราคาไม่แรง → เคลือบแก้ว (แท้) คือตัวเลือกที่ดี
ต้องการปกป้องจากรอยขีดข่วนจริงจัง มีงบพร้อมลงทุน → PPF คือคำตอบ
อยากได้ครบจบทุกด้าน → ผสมผสานทั้งสองแบบ: เคลือบแก้วทั้งคัน + ติด PPF จุดเสี่ยง เช่น กันชน ฝากระโปรง เพื่อการปกป้องรอบด้าน