Search
Back to All Blog Posts

8 วิธี ดูแลรักษารถคู่ใจให้สวยและขับขี่ปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

        เหล่าคนรักรถที่ปกติก็ชอบดูแลบำรุงรักษารถเป็นประจำอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ยิ่งควรต้องดูแลเอาใจใส่รถเป็นพิเศษ เพราะการใช้งานรถในช่วงหน้าฝนนั้นอาจทำให้อุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์เสื่อมสภาพ หรือใช้การไม่ได้ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นก่อนออกเดินทางเราจึงควรเช็คอุปกรณ์ต่างๆของรถให้ดีเสียก่อน และหลังจากใช้งานแล้วก็ต้องดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพื่อให้รถคันโปรดสวยยาวนาน และช่วยยืดอายุการใช้งานของรถอีกด้วย เรามาดูวิธีง่ายๆในการดูแลรักษารถคู่ใจให้สวยและขับขี่ปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

  1. เช็คที่ปัดน้ำฝน และกระปุกน้ำฉีดกระจก

          น้ำฝนที่ตกลงมาทำให้บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นขณะขับขี่ สิ่งที่ช่วยอำนวยให้มองเห็นได้สะดวกยิ่งขึ้นก็คือที่ปัดน้ำฝน ดังนั้นก่อนขับขี่ ควรมีการเช็คสภาพที่ปัดน้ำฝนเป็นประจำ ดูว่าชำรุดหรือเสื่อมสภาพหรือไม่ เพราะขณะที่เราขับรถเกิดมีฝนตกลงมากระทันหัน แต่ที่ปัดน้ำฝนไม่สามารถใช้การได้ ก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ วิธีดูแลที่ปัดน้ำฝนก็คือนำผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาด กำจัดฝุ่นและคราบฝังแน่น หากสภาพยางที่ปัดน้ำฝนเริ่มหลุดออกมาหรือเป็นขุยควรเปลี่ยนทันที หลีกเลี่ยงการเสื่อมสภาพของยางที่ปัดน้ำฝน โดยการไม่จอดรถตากแดด และการเคลือบสารเคลือบกระจกที่ช่วยลดการยึดเกาะของน้ำ (Water Repellent) เป็นอีกเกราะป้องกัน และอย่าลืมเช็คกระปุกน้ำฉีดกระจก เพราะเมื่อฝนตกลงมาผสมเข้ากับเศษฝุ่นที่ติดอยู่เดิมบนกระจกหน้าของรถคุณก็ทำให้ความสะอาดมองเห็นทางชัดๆ ของตัวกระจกนั้นหายไปและยังส่งผลไปยังทัศนวิสัยการขับขี่ที่แย่ลงอีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอในการดูแลรถหน้าฝนคือการตรวจเช็คระดับน้ำในกระปุกน้ำฉีดกระจก ให้ยังมีเหลืออยู่พร้อมใช้งาน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

 

  1. เช็คระบบเบรก

          ในหน้าฝนแบบนี้ระบบเบรกเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด  เพราะหากเกิดความบกพร่องของระบบเบรกจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เราจึงต้องให้ความสำคัญ ตรวจสอบดูการทำงานของเบรกว่าทำงานได้ดีปกติหรือไม่

 

ขั้นตอนการตรวจเช็คระบบเบรคด้วยตัวเอง

- เปิดฝากระโปรงหน้ารถ และตั้งขาค้ำฝากระโปรงให้แข็งแรง

- มองหากระปุกน้ำมันเบรค ถ้าหากไม่แน่ใจ ให้เปิดดูจากคู่มือรถ

- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเบรคให้อยู่ระหว่าง FULL เสมอ

- น้ำมันเบรคต้องมีความใสเสมอ ถ้าเห็นว่าเริ่มดำคล้ำ ควรเปลี่ยนใหม่

- ตรวจดูหม้อลมเบรค (ที่อยู่หลังกระปุกน้ำมันเบรค) ให้อยู่ในสภาพดีเสมอ

- มองหาชุดระบบเบรค ABS แล้วตรวจเช็คคร่าวๆ ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่

- ตรวจเช็คที่สายน้ำมันเบรคให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้

- ตรวจดูที่จานเบรค ว่าจานเบรคบางและมีรอยสึกเสมอกันทั่วทั้งวงหรือไม่ ถ้าบางมากควรรีบเปลี่ยน

- ตรวจเช็คผ้าเบรค โดยใช้ไฟฉายส่องดูแนวร่องกลางผ้าเบรค ถ้าร่องเริ่มตื้น ก็ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว

- ตรวจดูชุดคาลิเพอร์เบรค ให้สามารถประกบผ้าเบรคกับจานเบรคได้แนบสนิท

- ในกรณีที่เป็นระบบเบรคแบบดุม ต้องถอดออกมาเชคเท่านั้น ให้เปลี่ยนผ้าเบรคตามกำหนดก็เพียงพอ

- ตรวจเช็คระยะเบรคจากแป้นเบรค ต้องมีความตื้นหรือลึกของระยะเบรค แบบพอดีๆ

 

ผ้าเบรคต้องไม่บาง

การตรวจสอบว่าระบบเบรคมีความสมบูรณ์พร้อมขนาดไหน ตัวชี้วัดได้ดีที่สุด คือ "ผ้าเบรค" เราสามารถตรวจเชคได้อย่างง่ายๆ โดยการมองผ่านคาลิเพอร์เบรค ผ้าเบรคที่ยังใช้ได้ดีต้องมีความหนาของเนื้อผ้าเบรครวม BACKING PLATE (แผ่นเหล็กประกบหลังผ้าเบรค) ไม่น้อยกว่า 7 มม. โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทผู้ผลิต มักกำหนดระยะเปลี่ยนผ้าเบรคไว้ประมาณทุกๆ 30,000-40,000 กม. แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานเป็นหลัก

 

จานเบรคต้องไม่คด และไม่สั่น

รถที่ดีขณะเบรคเต็มที่ต้องไม่สั่นสะท้าน แต่ถ้าเบรคแล้วสั่นขึ้นมาถึงพวงมาลัย หรือแป้นเบรค แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ต้องนำรถเข้าไปตรวจเชคด่วน โดยส่วนใหญ่มักนำจานเบรคมาเจียนหน้าสัมผัสให้เรียบเสมอกัน แต่วิธีนี้ควรดูความหนาของจานเบรคด้วย ถ้าความหนาน้อยกว่าของเดิมมาก ก็ควรเปลี่ยนใหม่ เพราะถ้าเจียนแล้วจานเบรคอาจแตกร้าวจากการใช้งานได้

 

เปลี่ยนน้ำมันเบรคตามกำหนด

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคควรทำตามคู่มือกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่มักให้เปลี่ยนถ่ายที่ระยะประมาณ 20,000-30,000 กม. และควรใช้น้ำมันเกรดเดียวกับที่ผู้ผลิตกำหนดเท่านั้น

 

  1. เช็คยางรถยนต์

         ควรเช็คสภาพดอกยางและลมยางรถยนต์ เพราะเวลาฝนตกก็มักจะทำให้ถนนเปียกลื่น เกิดน้ำขังบนถนน เวลาที่เราขับรถด้วยความเร็วบนท้องถนนที่เปียกลื่นนั้น ยางรถยนต์โดยเฉลี่ยมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี ซึ่งยางรถยนต์ที่มีความลึกของดอกยางที่เหมาะสมจะช่วยทำให้การรีดน้ำออกจากถนนได้ดีกว่ายางที่ดอกยางสึกเสื่อมสภาพ และการเติมลมยางที่พอดีก็จะช่วยให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ได้ดี

 

  1. เช็คระบบสัญญาณไฟรถยนต์

          ช่วงหน้าฝนมีโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้นเพื่อจะช่วยลดโอกาสไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ควรเช็คไฟสัญญาณต่างๆ รอบคันรถว่ายังทำงานได้อย่างครบถ้วนหรือไม่ โดยเฉพาะไฟหน้า และไฟที่จำเป็นอื่นๆ ได้แก่ ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเบรก ไฟตัดหมอกหน้าและหลัง ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ที่ล้วนสำคัญต่อการขับขี่เป็นอย่างมาก หากใช้งานไม่ได้ อาจทำให้เรามองเห็นถนนไม่ชัดเจนในตอนที่ฝนตก หรือรถที่ขับตามมาไม่เห็นสัญญาณไฟของรถเรา หากพบว่าไฟหลอดไหนใช้งานไม่ได้หรือไม่สมบูรณ์ แนะนำให้ซ่อมแก้ไขโดยด่วน การเคลือบโคมไฟหน้าและท้าย ช่วยลดความหมองของโคมไฟซึ่งจะทำให้แสงจากหลอดภายในทำงานได้เต็มประสิทิภาพ

 

  1. หลีกเลี่ยงการเช็ดรถทันทีหลังขับตากฝน

          ฉีดล้างสิ่งสกปรกทั้งเศษดิน เศษทรายที่ติดมากับรถออกก่อน จึงเช็ดด้วยผ้าแห้งเพื่อป้องกันคราบน้ำ หลังจากขับรถตากฝนมาเราไม่ควรนำผ้ามาเช็ดรถทันที เพราะในน้ำฝนมีสิ่งสกปรกปะปนอยู่ ทั้งเศษดิน เศษหิน ที่เกาะติดมาด้วย การเช็ดรถเลยทันทีอาจทำให้รถเกิดริ้วรอยขีดข่วนได้ ดังนั้นจึงควรล้างรถให้สะอาดเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดรถให้แห้ง

 

  1. หลีกเลี่ยงการจอดรถใต้ต้นไม้

          การจอดรถใต้ต้นไม้ในช่วงหน้าฝน อาจเพิ่มความเสี่ยงที่น้ำฝนและลมทำให้ยางไม้ เกสร หรือเศษไม้หล่นลงบนรถ ทำให้สีรถด่าง หรือเกิดรอยขีดข่วน ดังนั้นจึงควรงดจอดรถใต้ต้นไม้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็สามารถหาผ้าคลุมรถมาคลุมกันไว้ได้ แต่ควรต้องระมัดระวังไม่คลุมรถไว้นานจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดคราบน้ำจากความชื้นได้

  1. หมั่นทำความสะอาดรถ

เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คนรักรถต้องพบกับความปวดหัวเป็นอย่างมากเลยล่ะครับ ยิ่งเจอสถานการณ์ที่เพิ่งล้างรถมาใหม่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ฝนเจ้ากรรมดันเทลงมาซะอย่างนั้น ทำให้รถสวยที่ขัดล้างมาอย่างดีสกปรกเลอะเทอะ ยิ่งต้องขับรถออกไปนอกบ้าน มีทั้งโคลน ทั้งน้ำฝนที่ชะล้างมาสู่ผิวถนน สร้างรอยคราบกระดำกระด่างติดตามรถเต็มไปหมด หลายคนเลยคิดว่า การล้างรถหน้าฝน นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องทำ ปล่อยให้เลอะแบบนั้นไปก่อน เดี๋ยวรอหน้าฝนหมดไปแล้วค่อยล้าง ช่วงหน้าฝนสำหรับใครที่ไม่ชอบทำความสะอาดรถเพราะคิดว่า ล้างทำความสะอาดไป เดี๋ยวฝนตกรถก็เลอะอีก ต้องบอกเลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิด ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ทันที เพราะในหน้าฝนหากขับรถออกไปลุยฝน ลุยน้ำ ลุยโคลนบ่อยๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้นานไม่ล้างทำความสะอาด จะให้คราบและสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดทั้งนอกตัวรถและในตัวรถฝังแน่น ยิ่งทำให้ขจัดคราบออกยากมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รถดูเก่าเร็ว ทั้งสีรถที่ซีดหมอง รวมถึงเกิดรอยขนแมวอันจะแสนน่ารำคาญอีก ดังนั้นจึงควรหมั่นดูแลทำความสะอาดรถให้ถูกวิธีเป็นประจำ

 

ข้อแนะนำสำหรับการล้างรถที่คนรักรถควรทำเป็นประจำ

 

การดูแลให้รถยนต์ดูใหม่อยู่เสมอไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มได้ง่ายๆ ด้วยการล้างรถที่ถูกต้อง สิ่งแรกที่ไม่ควรทำเลยคือการทิ้งรถให้ตากฝนหรือขับรถเปียกฝน อย่ามองว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบล้าง เพราะเดี๋ยวก็เปียกอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การล้างเป็นเรื่องที่ต้องทำกันเป็นประจำอย่างสม่ำเสมออยู่แล้วไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ตก มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรที่เราต้องใส่ใจเป็นพิเศษบ้าง

 

• ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ล้างรถ ฉีดล้างช่วงล่างและซุ้มล้ออยู่เสมอ

 

ซุ้มล้อบังโคลนคือแหล่งสะสมของคราบโคลนที่จะค่อย ๆ เกาะแน่น และพอกพูนจนกลายเป็นคราบดินแข็งล้างออกยาก รวมไปถึงช่วงล่างและตัวถังรถที่มักจะถูกโคลนกระเด็นใส่เป็นประจำและไม่ถูกทำความสะอาด

 

การล้างด้วยวิธีการปกติอาจไม่เพียงพอสำหรับส่วนที่ว่า แต่การใช้น้ำแรงดันสูงจะช่วยทำให้คราบฝังแน่นเหล่านี้หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในจุดที่เราไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปขัดถูได้ง่าย น้ำแรงดันสูงสามารถทำงานแทนเราได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ

 

• วิธีการล้างรถที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจากบนลงล่างเสมอ

 

ในการล้างรถช่วงฝนตก ควรฉีดน้ำไล่ลงมาจากข้างบนลงไปสู่ข้างล่าง เพราะว่าจะทำให้การดูแลความสะอาดทำได้ง่าย และพื้นที่ตัวถังช่วงล่างจะได้รับการหล่อน้ำอยู่เสมอซึ่งช่วยให้คราบฝังแน่นหลุดออกได้ง่ายกว่า และที่สำคัญถ้าคุณล้างรถจากส่วนล่างก่อน น้ำจากการล้างก็จะกระเด็นกลับไปเกาะติดเป็นคราบรถคุณอยู่ดีเมื่อขึ้นไปล้างส่วนบน

 

• ควรล้างรถเป็นประจำตามรอบการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

 

แม้ว่าฝนจะตกหนักมาก ตกทุกวัน แต่คุณก็ยังต้องรักษาวงรอบการล้างรถเอาไว้ไม่ให้ขาด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งดีที่สุด เพื่อการตรวจเช็ก บำรุงรักษา และลง Wax เคลือบรถให้เงางามและช่วยปกป้องสีรถ เพราะการลง Wax เป็นประจำ จะทำให้คราบฝังแน่นต่าง ๆ เกาะติดตัวถังรถได้ยากขึ้น และแน่นอนว่าทำให้การทำความสะอาดสามารถทำได้ง่ายขึ้นตาม

 

• ล้างรถทันทีทุกครั้งหลังฝนตก หรือเมื่อขับรถลุยสิ่งสกปรกมา

 

ทุกครั้งหลังฝนตกควรทำการล้างรถเพื่อให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ หลุดออกจากตัวถังตัวรถโดยไว รวมไปถึงการปรับสภาพพื้นผิวที่ถูกน้ำในที่อาจมีฤทธิ์เป็นกรดหรือด่างสูงให้กลับมามีสภาวะปกติ และถ้าล้างไปแล้วเจอฝนตกอีกครั้ง และคุณยังไม่ได้ขับรถออกไปไหน การฉีดน้ำล้างตัวถังรถอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องลงแชมพูล้างรถก็ได้ขอเพียงแค่คุณควรรีบจัดการกับคราบน้ำ คราบโคลนต่าง ๆ ให้หลุดออกจากตัวถังรถอย่างรวดเร็วที่สุด

  1. เสริมด้วยการป้องกันและดูแลบำรุงรักษารถยนต์

          วิธีที่จะช่วยปกป้องสีตัวถังรถยนต์ของคุณให้ยังสวย ใส เงางามอย่างยาวนาน ช่วยป้องกันคราบสกปรกและรอยขีดข่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ การเคลือบแก้วรถยนต์ นั่นเอง และอีกบริการเสริมการเคลือบกระจกรถยนต์ ที่จะช่วยลดการเกิดม่านน้ำบนกระจก เพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นเวลาขับขี่ อีกทั้งยังปกป้องกระจกรถยนต์ไม่ให้เกิดคราบน้ำ หินปูน เขม่าควันต่างๆเกาะติดฝังแน่นบนกระจก   

 

          ทั้งหมดนี้เป็นวิธีง่ายๆที่ทุกคนสามารถดูแลรถได้เอง หวังว่าจะช่วยให้ทุกคนเข้าใจวิธีดูแลรถได้อย่างถูกต้องและสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ เพื่อปกป้องรถยนต์คันโปรด และช่วยลดอุบัติเหตุที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยให้ช่วงหน้าฝนอีกด้วย

G2C Glass Coating Club By Threebond

 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

เพิ่มเพื่อน

Line ID: @g2cbythreebond
Facebook: facebook.com/glasscoatingclub

Instragram: glasscoatingclub

เวลาให้บริการ ทุกวัน 08.00-18.00น

Comments
Write a Comment Close Comment Form